ทัวร์โมรอคโค เที่ยวโมรอคโค 10 วัน 7 คืน กับผู้ชำนาญทัวร์โมรอคโคแบบเจาะลึกกว่า 20 ปี
Tags: ทัวร์โมรอคโค, เที่ยวโมรอคโค, ทัวร์โมรอคโค 5 ดาว, ทัวร์โมรอคโคตลาดบน, เชฟชาอูน, แทนเจียร์, นอนดูดาวทะเลทรายซาฮาร่า, อำนวยการทัวร์โดยคุณสิทธิชัย อุดมกิจธนกุล, คุณเส็งผู้ชำนาญทัวร์โมรอคโค
ทัวร์โมรอคโค 10 วัน 7 คืน พัก 5 ดาว โดยสายการบิน อิทิฮัด แอร์เวย์ส (EY)
ทัวร์โมรอคโค แพคเกจทัวร์โมรอคโค ทัวโมรอคโคร์ตลาดบน อยู่ดี กินดี พัก 5 ดาว ทัวร์โมร็อกโก เที่ยวโมรอคโค สนุก ได้สาระความรู้ โดย คุณสิทธิชัย อุดมกิจธนกุล (คุณเส็ง) ผู้ชำนาญ ทัวร์โมรอคโค Tour Morocco แบบเจาะลึก กว่า 14 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ. 2004) พร้อมทีมงานมืออาชีพ ในการทำทัวร์โมรอคโคแบเจาะลึก สัมผัสโมรอคโค ดินแดนฟ้าจรดทราย นอนดูดาวที่ทะเลทรายซาฮาร่า
TOUR CODE : MC990610YZ
*** จุดเด่นของรายการทัวร์โมรอคโค ทัวร์โมร็อกโก ***
|
TOUR CODE : MC990610YZ
กำหนดการเดินทาง ปี 2563 | ||
มกราคม | วันที่ 9 – 18 มกราคม 2563 | ท่านละ 70,900 บาท |
กุมภาพันธ์ | วันที่ 6 – 15 กุมภาพันธ์ 2563 / วันที่ 21 – 29 กุมภาพันธ์ 2563 | ท่านละ 70,900 บาท |
มีนาคม | วันที่ 5 – 14 มีนาคม 2563 / วันที่ 19 - 28 มีนาคม 2563 | ท่านละ 70,900 บาท |
เมษายน | วันที่ 9 – 18 เมษายน 2563 (สงกรานต์) / วันที่ 14 – 23 เมษายน2563 ( สงกรานต์ ) | ท่านละ 76,900 บาท |
เมษายน | วันที่ 23 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2563 | ท่านละ 70,900 บาท |
พฤษภาคม | วันที่ 7 – 16 พฤษภาคม 2563 / วันที่ 22 – 30 พฤษภาคม 2563 | ท่านละ 70,900 บาท |
มิถุนายน | วันที่ 4 – 13 มิถุนายน 2563 / วันที่ 18 – 27 มิถุนายน 2563 | ท่านละ 70,900 บาท |
กันยายน | วันที่ 17 – 26 กันยายน 2563 | ท่านละ 70,900 บาท |
ตุลาคม | วันที่ 8 – 17 ตุลาคม 2563 / วันที่ 22 – 31 ตุลาคม 2563 | ท่านละ 70,900 บาท |
พฤศจิกายน | วันที่ 5 – 14 พฤศจิกายน 2563 / วันที่ 19 – 28 พฤศจิกายน 2563 | ท่านละ 70,900 บาท |
ธันวาคม | วันที่ 3 – 12 ธันวาคม 2563 | ท่านละ 70,900 บาท |
ธันวาคม | วันที่ 24 ธันวาคม 2563 – 2 มกราคม 2564 ( ปีใหม่ ) | ท่านละ 76,900 บาท |
วันแรก | กรุงเทพฯ (Bangkok) – อาบู ดาบี (Abu Dhabi) | B- | L- | D- |
17.00 น. |
สมาชิกพร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณภูมิ เคาน์เตอร์สายการบินเอทิฮัท แอร์เวย์ส เคาน์เตอร์ Q ประตูทางเข้าที่ 8 เจ้าหน้าที่ คอยอำนวยความสะดวก และทาการเช็คอิน | |||
20.35 น. |
บินสู่อาบูดาบี (Abu Dhabi) โดยสายการบินอิทิฮัด แอร์เวย์ส เที่ยวบินที่ EY 401 BKK AUH 2035 – 0010 (7.00 ช.ม) |
วันที่สอง | อาบู ดาบี (Abu Dhabi) – คาซาบลังกา (Casablanca) – ราบัต(Rabat) – แทนเจียร์ (Tangier) | B- | L1 | D1 |
00.10 น. | ถึง สนามบินอาบู ดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ พักเปลี่ยนอิริยาบถและเปลี่ยนเครื่อง | |||
02.45 น. |
บินต่อ สู่เมืองคาซาบลังกา สายการบินเอทิฮัด แอร์เวย์ส เที่ยวบิน EY 613 0230 AUH CMN 0230 - 0740 บินต่ออีกประมาณ 9.10 ชั่วโมง (รวมเวลาบิน และเปลี่ยนเครื่อง 18.30 ชม.) | |||
08.35 น. |
เครื่องลงจอดที่สนามบินนานาชาติเมืองคาซาบลังก้า (Casablanca) ประเทศโมรอคโค (เวลาท้องถิ่นในประเทศโมรอคโค ช้ากว่าประเทศไทย 6 - 7 ช.ม.) หลังผ่านตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร พบมัคคุเทศก์ท้องถิ่นแล้วเดินทางสู่เมืองราบัต (Rabat) เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโค(ระยะทาง 115 กม.เวลาเดินทางประมาณ 1.30 ชม.) | |||
นำท่านชม ป้อมอูดายา (Oudayas Fortress) ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้น ที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติกล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่ เป็นป้อมที่สเปนสร้างขึ้นเมื่อสมัยที่สเปนยึดครองโมรอคโค ด้านในมีสวนดอกไม้แบบสเปน และเป็น เมดิน่า หรือชุมชนชาวเมืองซึ่งเต็มไปด้วยบ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้า-ขาวบรรยากาศริมทะเลคล้ายเมืองซานโตรินี นับเป็นหนึ่งในป้อมปราการที่สำคัญของโมรอคโคในอดีตใช้ป้องกันข้าศึกจากการรุกรานทั้งจากประเทศที่ล่าอาณานิคมและในยุคที่โจรสลัดชุกชุม | ||||
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน เพื่อสุขภาพ ณ ภัตตาคาร | |||
นำท่านเดินทางสู่เมืองแทนเจียร์ (Tangier) เป็นเมืองริมชายฝั่ง และเป็นเมืองท่าที่สำคัญ ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศโมร็อกโก และอยู่ทางตอนใต้ของ “ช่องแคบยิบรอลตาร์” ปัจจุบันเมืองท่าแห่งนี้ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของโมร็อกโคอีกด้วย นอกจากนี้แล้วเมืองแทนเจียร์ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางด้านประวัติศาสตร์ไม่น้อยไปกว่าเมืองอื่นๆ อีกทั้งรอบ ๆ ตัวเมืองยังมีความโดดเด่นด้วยทัศนียภาพที่สวยงาม รวมไปถึงหาดทรายและผู้คนที่แสนจะเป็นมิตร ชมวิวช่องแคบยิบรอลต้า ที่คั่นแบ่งระหว่างทวีปยุโรป และ ทวีปแอฟริกา ตามตำนานเล่าว่า เป็นเพราะเทพเฮอร์คิวลิส ที่ต้องการเดินทางผ่านไปยังสุดขอบตะวันตกจึงยกแผ่นหินออกทำให้เกิดช่องแคบยิบรอลต้าขึ้น จากนั้นนำชม แกรนด์ ซัคโค (Grand Socco) หรือที่รู้จักกันว่า "บิ๊กสแควร์" จัตุรัสที่รายล้อมไปด้วยเขตเมืองเก่า หรือย่านเมดินา ซึ่งถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ดีที่สุดของเมืองแทนเจียร์ อีกทั้งยังถือว่าเป็นตลาดหลักของเมืองอีกด้วย | ||||
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ เพื่อสุขภาพ ที่โรงแรม | |||
พักที่ โรงแรม CESAR HOTEL (TANGIER) ระดับ 5 * หรือเทียบเท่า |
วันที่สาม | แทนเจียร์ (Tangier)– เชฟชาอูน (Chefchaouen) | B1 | L2 | D2 |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า เพื่อสุขภาพ ในโรงแรม-เช็คเอ้าท์ | |||
นำท่านเดินทางต่อ สู่ นครสีฟ้า เชฟชาอูน (Chefchaouen) เมืองที่ได้ชื่อว่า “ มนต์เสน่ห์แห่งโมร็อกโค “ แม้ว่าโมรอคโคจะเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา แต่เพราะการที่มีอาณาเขตติดต่อกับทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและมหาสมุทรแอตแลนติก จึงทำให้ภูมิอากาศของประเทศเป็นแบบเมดิเตอร์เรเนียนคล้ายตอนใต้ของอิตาลีและ สเปน เมืองเชฟชาอูน (Chefchaouen) เป็นเมืองเล็กๆตั้งอยู่ในหุบเขาริฟ (Rif Mountain หรือ Er-Rif) ประวัติความเป็นมาของเมืองนั้นยาวนานกว่า 540 ปี ในอดีตก่อนที่โมรอคโคจะได้รับเสรีภาพในการปกครองประเทศทั้งหมดในปี 1956 เมืองเชฟชาอูนเคยอยู่ใต้การปกครองของสเปนมาก่อน และจนบัดนี้ประชากรที่มีประมาณ 40,000 คน ก็ยังคงใช้ภาษาสเปนกันอย่างแพร่หลาย อากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองเชฟชาอูนได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นหายเหนื่อยได้ สำหรับท่านที่ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค ไม่ควรพลาดเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ที่บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้าและสีขาว ซึ่งจะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนมิรู้ลืม | ||||
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร | |||
นำท่านเดินชมเมืองเชฟชาอูน เมืองที่ถือว่าเป็นสวรรค์ของคนรักสีฟ้าและสีขาว โดยเฉพาะสีฟ้า นั่นก็เพราะว่าเชฟชาอูนเป็นเมืองที่บ้านเรือนเกือบทุกหลังเป็นสีขาว และมีครึ่งล่างไปจนถึงบริเวณถนน บันได และทางเดิน เป็นสีฟ้าสดใสเหมือนวันที่ท้องฟ้าไร้เมฆ ประกอบกับอากาศบริสุทธิ์และความสะอาดของเมืองได้สร้างบรรยากาศผ่อนคลายสบายๆที่ทำให้นักท่องเที่ยวที่เหนื่อยล้ามาจากการตระเวนเที่ยวที่เมืองอื่นหายเหนื่อยได้ สำหรับท่านที่ชื่นชอบในสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโค ไม่ควรพลาดเมืองเล็ก ๆ ที่บ้านเรือนทาทาบด้วยสีฟ้าและสีขาว แห่งนี้ทีเดียว | ||||
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ที่โรงแรม | |||
พักที่ โรงแรม PARADOR HOTEL (CHEFCHAOUEN) ระดับ 4 * หรือเทียบเท่า |
วันที่สี่ | เชฟชาอูน (Chefchaouen) - เมคเนส (Meknes) - เฟส (Fes) | B2 | L3 | D3 |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ในโรงแรม-เช็คเอ้าท์ | |||
นำท่านออกเดินทางสู่เมือง เมคเนส (Meknes) (ระยะทาง 195 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.30 ชม.) แวะชม เมืองโบราณโรมันโวลูบิลิส (Roman city of Volubilis) ที่ปัจจุบันเหลือแต่ซากปรักหักพังที่เกิดจากแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงในปี ค.ศ. 1755 แต่ยังคงเห็นได้ถึงร่องรอย ความยิ่งใหญ่ของเมืองในจักรวรรดิโรมันในอดีต อดีตเมืองโบราณแห่งจักรวรรดิโรมันแห่งนี้มีความสำคัญยิ่งในยุคศตวรรษที่ 3 และล่มลายถูกปล่อยเป็นเมืองร้างในศตวรรษที่ 11 เมืองโรมันโบราณแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1997 ผ่านชมเมือง มูเล่ ไอดริส (Moulay Idriss) เมืองโรมันโบราณเมืองหนึ่งที่เป็นเมืองศูนย์กลางทางศาสนาอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวมุสลิมในโมรอคโค ทุกๆ ปี ช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน จะมีเหล่านักจาริกแสวงบุญมาเยือนเมืองแห่งนี้เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาเปรียบได้กับเมืองเมกกะของประเทศซาอุดิอารเบีย เมคเนส (Meknes) หนึ่งในเมืองมรดกโลกรับรองโดยยูเนสโกเมื่อปี ค.ศ.1996 อดีตเมืองหลวงในสมัยสุลต่าน มูเล อิสมาอิล (Mouley Ismail) แห่งราชวงศ์อะลาวิท (Alawite Dynasty) ได้ชื่อว่าเป็นกษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามในช่วงศตวรรษที่ 17 ด้วยทำเลที่ตั้งที่มีแม่น้ำไหลผ่านก ป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ มี กำแพงเมืองล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กม. ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู แวะชม ประตูบับมันซู (Bab Mansour Monumental Gate) เป็นประตูที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุด ตกแต่งด้วยโมเสคและกระเบื้องกระเบื้องสีเขียวสดบนผนังสีแสด | ||||
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร | |||
จากนั้นเดินทางสู่ เมืองเฟส (Fes) ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเชิงเทือกเขารีฟซึ่งเฟสเป็นเมืองแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงและมีเสน่ห์อันน่าประทับใจ (ระยะทาง 82 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชม.) เมืองหลวงเก่าในศ.ต. ที่ 8 ที่มีความความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาตั้งแต่ยุค ศตวรรษ ที่ 8 เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของโมรอคโคนำท่านชมประตูพระราชวังหลวงแห่งเฟส (The Royal Palace) ประตูทางเข้าพระราชวังเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยและสง่างาม เป็นเอกลักษณ์แห่งราชวงศ์โมรอคโค บริเวณใกล้เคียงพระราชวังเคยเป็นที่อยู่ของชุมชนชาวยิวที่ทำรายได้ให้แก่ราชวงศ์ เพราะชาวยิวฉลาดทำการค้าเก่งเป็นพ่อค้าผูกขาดการค้าเกลือแต่ปัจจุบันชาวยิวส่วนใหญ่ได้เดินทางกลับไปอยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญา(ประเทศอิสราเอล) คงเหลือประชากรชาวยิวอยู่ไม่มากนัก นำท่านเดินทางเข้าสู่เขาวงกตอันซับซ้อนแห่งเมดินาเมืองเฟสผ่านประตู Bab Bou Jeloud ที่สร้างตั้งแต่ปี 1913 ที่ใช้โมเสดสีฟ้าตกแต่ง เดินผ่านเข้าไปในเขตเมดิน่าแล้วเหมือนข้ามกาลเวลาย้อนสู่อดีต นำท่านเดินผ่านตลาดสดขายข้าวปลาอาหาร และผัก ผลไม้สดต่างๆนาๆ ในเขตเมืองเก่าได้แบ่งออกเป็น 100 ส่วน มีซอยกว่า 9,4 อย มีซอยแคบสุดคือ 50 ซ.ม. ถึงกว้าง 3 เมตร จะแบ่งเป็นย่านต่างๆ เช่น ย่านเครื่องใช้ทองเหลือง ทองแดง จะมีร้านค้าเล็ก ๆ ที่หน้าร้านจะมีหม้อ กะทะ อุปกรณ์เครื่องครัว วางแขวนห้อยเต็มไปหมด ย่านขายพรมที่วางเรียงรายอย่างสวยงาม ย่านงานเครื่องจักสาน งานแกะสลักไม้ และย่านเครื่องเทศ (Souk El Attarine) ท่านจะได้สัมผัสทั้งรูป รสและกลิ่นในย่านเครื่องเทศที่มีการจัดเรียงสินค้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงามระหว่างที่เดินตามทางในเมดิน่าท่านจะได้พบกับน้ำพุธรรมชาติ (Nejjarine Fountain) เพื่อให้ชาวมุสลิมให้ล้างหน้าล้างมือก่อนเข้าในบริเวณมัสยิด นอกจากนี้ที่ตามซอกมุมอาจเห็นภาพชายสูงอายุหนวดเครารุงรังนั่งแกะสลักไม้ชิ้นเล็กๆอยู่บริเวณตามทางเดินแคบๆในเขตเมืองเก่าบางทีเราก็ยังจะเห็นผู้หญิงที่นี่สวมเสื้อผ้าที่ปิดตั้งแต่หัวจนถึงเท้าจะเห็นได้ก็เฉพาะตาดำอันคมกริบเท่านั้น แวะชมสุสานของกษัตริย์ มูเล ไอดริสที่ 2 (Moulay Idriss Mausolem II) ที่ชาวโมรอคโคถือว่าเป็นแหล่งมาแสวงบุญที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยชายชาวมุสลิมจะมาขอพรก่อนการเข้าสุหนัตและหญิงสาวชาวมุสลิมมักจะมาขอพรเพื่อให้ได้บุตร ชมสุเหร่าใหญ่ไคเราวีน (Kairaouine Mosque)ซึ่งเป็นทั้งมหาวิทยาลัอนศาสนาแห่งแรกของโมรอคโคและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว (เฉพาะผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามเท่านั้น) ชมย่านเครื่องหนังและแวะชม บ่อฟอกและย้อมสีหนังแบบโบราณประจำเมืองเฟส (Chouara Tannery) ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเมืองเฟส ถูกอนุรักษ์โดยองค์กรยูเนสโก้ เมืองเฟส จึงเป็นสถานที่ไม่ควรพลาดในการมาเยือนอย่างยิ่ง นำท่านชม เมเดอร์ซา บูอิมาเนีย (Merdersa Bou Imania) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนพระคัมภีร์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบมัวร์ที่สวยงามประณีต ชมร้านทองเหลือง ซึ่งช่างฝีมือที่ทำทองเหลืองเป็นช่างที่ได้รับการถ่ายทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ หลายชั่วอายุคน ในอดีตช่างฝีมือ และ ช่างหัตถกรรมเหล่านี้ได้สร้างสรรค์ผลงานอันวิจิตรงดงามในแคว้น อัล อันดาลูซ ประเทศสเปนเมื่อครั้งที่ชาวโมรอคคันเบอร์เบอร์ปกครองแคว้น อัล อันดาลูซ ของสเปน และชมการผลิตโมเสค (Mosaic) และเครื่องใช้ที่ทำจากเซรามิค ชมกรรมวิธีการทำ ซิลิจ Zeilige ซึ่งเป็นกรรมวิธีที่สืบทอดกันมาแต่ดั้งเดิม ดังความงามได้ปรากฏจนเป็นที่เลื่องลือกันในประเทศสเปน โดยเฉพาะการปูกระเบื้องโมเสคที่ตัดและจัดลวดลายที่ละชิ้นหรือที่เรียกว่า ซิลลิจ ได้อย่างลงตัว |
||||
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ที่โรงแรม | |||
พักโรงแรม PALAIS MEDINA HOTEL ระดับ 5* หรือเทียบเท่า | ||||
*** คืนนี้ กรุณาจัดเตรียมเสื้อผ้า และของใช้จำเป็น ใส่กระเป๋าเล็ก เพื่อใช้ในการค้างแรมในทะเลทรายซาฮาร่า ในคืนพรุ่งนี้ *** |
วันที่ห้า |
เฟส (Fes) – อิเฟรน (Ifrane) - มิเดลท์(Midelt) – แอร์ฟูด์ (Erfoud) – เมอร์ซูก้า(Merzouga) | B3 | L4 | D4 |
เช้า | รับประทานอาหารเช้า เพื่อสุขภาพในโรงแรม-เช็คเอ้าท์ (พร้อมนำสัมภาระสำหรับค้างคืนในทะเลทราย แยกไว้ต่างหาก) | |||
นำท่านเดินทางสู่ เมืองอิเฟรน (Ifrane) (ระยะทาง 70 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1.20 ชม.) อิเฟรน(Ifrane) เป็นเมืองพักตากอากาศบนความสูงกว่า 1,650 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งในอดีตฝรั่งเศสได้มาสร้างเมืองขึ้นบริเวณนี้ เป็นสถานที่พักผ่อนทั้งฤดูหนาวและฤดูร้อน บ้างก็เรียกเมืองอิเฟรนว่า เจนีวาแห่งโมรอคโค หรือ “สวิตเซอร์แลนด์แห่งโมรอคโค” บ้านส่วนใหญ่มีหลังคาสีแดง มีดอกไม้ และทะเลสาบสวยงาม นำท่านเดินเล่นภายในเมืองและเก็บภาพบรรายากาศอันสวยงามอีกแห่งของโมรอคโค ถ่ายรูปกับอนุสรณ์สิงห์โตหิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แทนสิงห์โตตัวสุดท้ายที่ถูกล่าจนหมดไปจากเทือกเขาแห่งนี้ จากนั้นนำท่านเดินทางต่อสู่เมือง มิเดลท์ (Midelt) | ||||
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร | |||
นำท่านเดินทางสู่เมืองเมอร์ซูก้า (Merzouga) เมืองในทะเลทรายซาฮาร่า (ระยะทาง 268 กม). ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม.) ผ่านเมือง เออราชิดิยา (Errachidia) เมืองที่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์ ซึ่งอยู่ใกล้กับพรมแดนของประเทศแอลจีเรีย เดินทางสู่เมืองเอร์ฟูด์ (Erfoud) เมืองที่เคยเป็นศูนย์กลางกองคาราวานพ่อค้าที่เดินทางมาจากทางตะวันออกกลางอย่างซาอุดิอารเบียและซูดานในแอฟริกา นำท่านพร้อมสัมภาระ(ใบเล็ก) เดินทางโดยรถ 4x4 เข้าสู่ทะลทรายซาฮารา เมอร์ซูก้า (Merzouga) (ระยะทาง54 ก.ม. ใช้เวลา 45 นาที) ผ่านภูเขาหิน ที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิล ของหอย และ แมงกะพรุนโบราณ ในอดีต เมื่อประมาณ 350 ล้านปีก่อน ดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเลต่อมาเมื่อแผ่นดินผุดขึ้นมา จึงเกิดซากฟอสซิลขึ้นมากมาย | ||||
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ ที่เมอร์ซูก้า | |||
พักที่ เต็นท์ หรือโรงแรม KASBAH TOMBOUCTOU ในเมอร์ซูก้าหรือเทียบเท่า (พักเต็นท์ ในกรณีที่โรงแรมในทะเลทรายเต็ม) | ||||
*** เชิญท่านเพลิดเพลินกับบรรยากาศยามค่ำคืนของทะเลทรายซาฮาร่า และชมดวงดาวบนท้องฟ้า *** *** ท่านที่ประสงค์จะพักเต็นท์แบบ ลักซูรี่ มีห้องน้ำในตัว (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มท่านละ 50 USD )*** *** กรุณาแจ้งล่วงหน้า เนื่องจากเต็นท์แบบลักซูรี่ มีจำนวนจำกัด*** |
วันที่หก | มอร์ซูก้า (Merzouga) - ทินเฮียร์ (Tinerhir) – ทอดร้ากอร์จ(Todra Gorge)- วอซาเซท(Ouarzazate) | B4 | L5 | D5 |
เช้าตรู่ | ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนำท่านขี่อูฐชมเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นที่เนินทรายในทะเลทรายซาฮาร่า (ขี่อูฐ ท่านละ 1 ตัว) | |||
ทะเลทรายซาฮาร่า (SAHARA DESERT) เป็นทะเลทรายที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่สุดในโลกคือ มีเนื้อที่ประมาณ 9.3 ล้านตารางกิโลเมตร (ใหญ่เท่าอเมริกาทั้งประเทศ) และตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปแอฟริกา ทะเลทรายซาฮาร่ามีสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์ สัตว์ หรือพืช เพราะฝนตกน้อยมาก และพื้นที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกหรือเลี้ยงสัตว์ หากมีสัตว์และพืชพันธุ์ใดที่สามารถเติบโตในทะเลทรายได้ ก็ต้องปรับตัวกันอย่างมาก เช่นเดียวกับมนุษย์ที่ต้องหาวิธีในการใช้ชีวิตให้อยู่รอดได้ ให้ท่านได้สัมผัสบรรยากาศยามเช้าในทะเลทรายซาฮาร่า จากสภาพการไร้ฝนและอุณหภูมิที่ร้อนจัดในทะเลทรายมีผลทำให้ความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศเหนือทะเลทราย เกือบเป็นศูนย์ตลอดปี ชมพระอาทิตย์ขึ้นจากบนเนินทราย ซึ่งเป็นภาพที่สวยงาม น่าประทับใจ ได้เวลานำท่านขี่อูฐกลับสู่โรงแรมที่พัก | ||||
เช้า | รับประทานอาหารเช้า ในโรงแรม-เช็คเอ้าท์ | |||
นำคณะนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อ 4x4 (4WD) ออกจากทะเลทรายซาฮาร่า มุ่งหน้าสู่เมืองเอร์ฟูด์(Erfoud) เพื่อเปลี่ยนเป็นรถโค้ช เดินทางสู่เมืองทินเฮียร์ แวะชมโอเอซิส Tinerhir ซึ่งเป็นชุมชนที่เกาะกลุ่มอยู่รวมกัน ท่ามกลางความแห้งแล้งในเขตทะเลทราย ที่ยังมีความชุ่มชื้น มีตาน้ำ หรือ ลำธารน้ำ ซึ่งใช้ในการปลูก ต้นปาล์ม ต้นอัลมอนด์ โอเอซิสแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งของกองทหารที่เดินทางมาจากเมืองวอซาเซท ผ่านหุบเขาดาเดดส์ (Dades) ซึ่งเป็นแนวเขาและธรรมชาติของหุบเขาที่ถูกกัดกร่อนจากแรงลม ทำให้หุบเขากลายเป็นรูปร่างต่างๆ สวยงาม จากนั้นเดินทางสู่ทอดร้ากอร์จ (Todra Gorge) โกรกธารที่มีโขดผาสูง 985 ฟุต หรือ 300 เมตร ทั้งสองด้านที่เกือบตั้งทำมุมสามเหลี่ยมกับแม่น้ำโทดร้า ถือว่าเป็นโกรกธารและหุบเขาที่สวยที่สุดทางใต้ของโมรอคโค ชมความงดงามของช่องเขาที่ซ่อนตัวอยู่ในโอเอซิส โดยมี ลำน้ำใส ๆ ที่ไหลผ่านช่องเขากับหน้าผาสูงชันแปลกตา สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งปีนหน้าผาสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักการเสี่ยงภัย | ||||
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน เพื่อสุขภาพ ณ ภัตตาคาร | |||
เดินทางสู่เมืองวอซาเซท (Ouarzazate) เคยเป็นที่ตั้งทางยุทธศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1928 ฝรั่งเศสได้ตั้งกองกำลังทหารและพัฒนาที่นี่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหาร วอซาเซทเป็นเมืองที่ถูกส่งเสริมให้เป็นเมืองท่องเที่ยวแวดล้อมไปด้วยสตูดิโอภาพยนตร์ และมีการพัฒนาพื้นที่ในทะเลทรายเพื่อการทำกิจกรรมต่างๆ เช่นการขี่มอเตอร์ไซด์ อูฐ กิจกรรมผจญภัยกลางทะเลทราย (สำหรับในฤดูหนาว – ฤดูใบไม้ผลิ (พ.ย.– เม.ย.)) ควรเตรียมเสื้อกันหนาวให้เพียงพอ เพราะเมืองนี้อยู่ใกล้ภูเขา แอตลาส ที่มีหิมะปกคลุมในช่วงดังกล่าว วอซาเซท อาจกล่าวได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวที่มองหาความแตกต่าง และความผจญภัยที่หาไม่ได้จากที่ไหน วอซาเซทเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของทางตอนใต้ และที่นี่ยังเป็นทางเชื่อมระหว่างเหนือกับใต้ และตะวันออกกับตะวันตก สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ชอบรสชาติของความเป็นทางใต้ ณ แห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการสำรวจเมืองต่างๆได้ทุกวัน ก่อนถึงเมืองซอซาเซท แวะชมผลิตภัณฑ์ที่ทำจากกุหลาบที่เมือง มากูน่า (M’Gouna) (เทศกาลกุหลาบจะจัดขึ้นประมาณเดือนพฤษภาคม) |
||||
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ เพื่อสุขภาพ ที่โรงแรม | |||
พักที่ โรงแรม KARAM PALACE HOTEL ระดับ 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่เจ็ด | วอซาเซท(Ouarzazate) – มาราเกช (Marakech) | B5 | L6 | D6 |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม-เช็คเอ้าท์ | |||
นำชมป้อมทาอูเริท (Kasbah Taourirt) พระราชวังของผู้ปกครองมาราเกซ ตระกูล กลาวี (Glaoui Palace) เป็นป้อม ดิน หรือ วังที่สร้างจากดิน ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องหับต่างๆจำนวนมากรวมถึงฮาเร็ม และที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยทางเล็ก ๆอยู่ภายใน ในห้องต่าง ๆ ยังมีลวดลายผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของการสร้างอาคารของชาวเบอร์เบอร์ การออกแบบอาคารซึ่งเหมาะกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของเหล่าเจ้าผู้ปกครอง ในป้อมทาอูเริทนี้ในอดีตมีคนงานและคนรับใช้จำนวนหลายร้อยคนจึงต้องมีห้องเป็นจำนวนมาก มีทั้งส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง บางห้องก็ว่างเปล่า ยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด จากนั้นเดินทางสู่เมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait Benhaddou) ชมเมืองไอท์ เบนฮาดดู เป็นเมืองที่อาคารต่าง ๆสร้างจากดิน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมดินที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของโมรอคโค คือป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Hadou) เป็นป้อมดินซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้ |
||||
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร | |||
เดินทางสู่เมืองมาราเกช (Marakesh) โดยข้ามส่วนที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอตลาส ระหว่างทาง แวะถ่ายภาพทิวเขาและภาพถนนที่คดเคี้ยวบนเทือกเขาแอตลาส แวะชมสหกรณ์แม่บ้านเบอร์เบอร์ ซึ่งเป็นแหล่งผิลต น้ำมันอาร์กัน (Argan Oil) ให้ท่านได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาร์กันที่มีเชื่อเสียงอันที่รู้จักไปทั่วโลก จากนั้นเดินทางต่อสู่เมือง มาราเกช (Marakesh) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆที่นำสินค้าจากทางตอนใต้ ไปขายยังยุโรป และ นำสินค้าจากทางเหนือ ผ่านเทือกเขา ไฮแลตลาส ไปยังทะเลทราย ซาฮาร่า ไปยังตอนใต้ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงหลายราชวงส์ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์อัลโมราวิด ช่วงศ.ต.ที่ 11 ราชวงศ์อัลโมฮัด และ ราชวงศ์ซาเตียน ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้ นำท่านเยือน จัตุรัสกลางเมือง Djemaa El Fnaa Square ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวา ที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้ พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝาก ของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ ได้ที่ ตลาดเก่า (Old Market) ที่อยู่รายรอบจัตุรัสอย่างเพลิดเพลิน |
||||
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ เพื่อสุขภาพ ที่โรงแรม | |||
พักโรงแรม KARAM PALACE HOTEL ระดับ 4* หรือเทียบเท่า |
วันที่แปด |
วอซาเซท(Ouarzazate) – มาราเกช (Marakech) | B6 | L7 | D7 |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม-เช็คเอ้าท์ | |||
นำชมป้อมทาอูเริท (Kasbah Taourirt) พระราชวังของผู้ปกครองมาราเกซ ตระกูล กลาวี (Glaoui Palace) เป็นป้อม ดิน หรือ วังที่สร้างจากดิน ซึ่งภายในประกอบด้วยห้องหับต่างๆจำนวนมากรวมถึงฮาเร็ม และที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยทางเล็กๆอยู่ภายใน ในห้องต่าง ๆ ยังมีลวดลายผนังอาคารและรูปแบบสถาปัตยกรรมอันหลากหลายของการสร้างอาคารของชาวเบอร์เบอร์ การออกแบบอาคารซึ่งเหมาะกับความเชื่อและความเป็นอยู่ของเหล่าเจ้าผู้ปกครอง ในป้อมทาอูเริทนี้ในอดีตมีคนงานและคนรับใช้จำนวนหลายร้อยคนจึงต้องมีห้องเป็นจำนวนมาก มีทั้งส่วนที่เป็นวังเก่า ห้องนั่งเล่น ห้องรับรอง บางห้องก็ว่างเปล่า ยูเนสโก้ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาจากอาคารเดิมเพียง 1 ใน 3 ของอาคารทั้งหมด จากนั้นเดินทางสู่เมืองไอท์ เบนฮาดดู (Ait Benhaddou) ชมเมืองไอท์ เบนฮาดดู เป็นเมืองที่อาคารต่าง ๆสร้างจากดิน เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในเรื่องการหารายได้จากกองถ่ายทำภาพยนตร์กว่า 20 เรื่อง โดยเฉพาะป้อมดินที่งดงามและมีความใหญ่ที่สุดในภาคใต้ของโมรอคโค คือป้อมไอท์ เบนฮาดดู (Kasbash of Ait Ben Hadou) เป็นป้อมดินซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ เป็นปราสาทที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนต์หลายเรื่องที่โด่งดังอาทิ Lawrance of Arabia , Jesus of Nazareth และ Gladiator ปัจจุบันอยู่ในความดูแลขององค์การยูเนสโก้ | ||||
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน เณ ภัตตาคาร | |||
บ่าย | เดินทางสู่เมืองมาราเกช (Marakesh) โดยข้ามส่วนที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอตลาส ระหว่างทาง แวะถ่ายภาพทิวเขาและภาพถนนที่คดเคี้ยวบนเทือกเขาแอตลาส แวะชมสหกรณ์แม่บ้านเบอร์เบอร์ ซึ่งเป็นแหล่งผิลต น้ำมันอาร์กัน (Argan Oil) ให้ท่านได้เลือกซื้อผลิตภัณฑ์อาร์กันที่มีเชื่อเสียงอันที่รู้จักไปทั่วโลก จากนั้นเดินทางต่อสู่เมือง มาราเกช (Marakesh) เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญที่ตั้งอยู่เชิงเขาแอตลาส ในอดีตเมืองโอเอซิสแห่งนี้เป็นที่พักของกองคาราวานอูฐที่มาจากทางตอนใต้ของโมรอคโค ถือเป็นเมืองชุมทางของพ่อค้าต่างๆที่นำสินค้าจากทางตอนใต้ ไปขายยังยุโรป และ นำสินค้าจากทางเหนือ ผ่านเทือกเขา ไฮแลตลาส ไปยังทะเลทราย ซาฮาร่า ไปยังตอนใต้ นอกจากนี้ยังเป็นอดีตเมืองหลวงในช่วงหลายราชวงส์ เริ่มตั้งแต่สมัยราชวงศ์อัลโมราวิด ช่วงศ.ต.ที่ 11 ราชวงศ์อัลโมฮัด และ ราชวงศ์ซาเตียน ปัจจุบันเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุด สภาพบ้านเมืองที่เราเห็นได้คือ สองข้างทางแวดล้อมด้วยบ้านเรือนที่ถูกฉาบด้วยปูนสีส้มๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลกำหนดไว้ แต่คนท้องถิ่นจะเรียกว่า Pink City หรือ เมืองสีชมพู อาจกล่าวได้ว่ามาราเกชเป็นเมืองที่มีเสน่ห์ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง จึงได้สมญานามว่าเป็น A city of Drama นั่นคือมีความสวยงามดั่งเมืองในละครที่ไม่น่าเป็นชีวิตจริงได้ นำท่านเยือน จัตุรัสกลางเมือง Djemaa El Fnaa Square ที่มีขนาดใหญ่ รายล้อมไปด้วยอาคาร ร้านค้า ตลาด ทั้ง 4 ด้าน เดินเล่นถ่ายรูปความมีชีวิตชีวา ที่มีสีสันและกลิ่นอายแบบโมรอคโคขนานแท้ พร้อมจับจ่ายหาซื้อของฝาก ของที่ระลึกพื้นเมืองต่างๆ ได้ที่ ตลาดเก่า (Old Market) ที่อยู่รายรอบจัตุรัสอย่างเพลิดเพลิน |
|||
ค่ำ | รับประทานอาหารค่ำ เพื่อสุขภาพ | |||
พักที่ โรงแรม ADAM PARK HOTEL ระดับ 5* หรือเทียบเท่า |
วันที่เก้า | คาซาบลังกา(Casablanca) – อาบูดาบี (Abu Dhabi) – กรุงเทพฯ (Bangkok) | B7 | L8 | D- |
เช้า | รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม-เช็คเอ้าท์ | |||
ชมเมืองคาซาบลังก้า ผ่านย่านธุรกิจสำคัญ จัตุรัสสหประชาชาติ ผ่านชมย่านบ้านพักตากอากาศและวิวทิวทัศน์ริมมหาสมุทรแอตแลนติคซึ่งเป็นย่านที่เศรษฐีและผู้มีฐานะทางสังคมนิยมมาอยู่กันรวมถึงกษัตริย์ซาอุดิอารเบียก็มาสร้างพระราชวังไว้ที่เมืองคาซาบลังก้าแห่งนี้พร้อมทั้งมีมัสยิดและหอสมุดส่วนพระองค์ นำท่านชม บริเวณภายนอกของ สุเหร่าแห่งกษัตริย์ฮัสซันที่ 2 เป็นสุเหร่าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากเมืองเมกกะ สุเหร่านี้งดงามประณีตด้วยสถาปัตยกรรมแบบโมรอคโคทุกแขนง สามารถจุผู้คนที่เข้าร่วมพิธีทางศาสนาอิสลามได้ร่วม 80,000 คน โดยแยกเป็นภายในสุเหร่า 25,000 คน ภายนอกสุเหร่าอีก 55,000 คน ชมทิวทัศน์รอบๆ สุเหร่าอันเป็นจุดชมวิวริมฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติค ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนที่สวยงามของชาวโมรอคโคที่ชอบมาเดินเล่นหลังจากปฏิบัติศาสนกิจเสร็จแล้ว | ||||
กลางวัน | รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร | |||
นำท่าน เดินทางสูเมืองราบัต ชมเมืองราบัต เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรโมรอคโค ตั้งแต่ปีค.ศ.1956 เมื่อโมรอคโคหลุดพ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศส เป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง และทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดและสวยงาม จากนั้น ชมสุเหร่าหลวง และ พระราชวังหลวง ที่ทุกเที่ยงวันศุกร์ กษัตริย์แห่งโมรอคโคจะทรงม้าจากพระราชวังมายังสุเหร่า เพื่อประกอบศาสนกิจ ชมสุสานของกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 พระอัยกา(ปู่) ของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนเฝ้าสง่าทุกประตูและเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสาน คือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่ไม่สำเร็จ และพังลงจนเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183x139 เมตร | ||||
15.30 น. | นำท่านเดินทางสู่สนามบิน RABAT-SALE AIRPORT เพื่อเช็คอินเคาน์เตอร์สายการบิน อิทิฮัด EY | |||
19.15 น. | บินสู่อาบูดาบี (Abu Dhabi) โดยสายการบินอิทิฮัด แอร์เวย์ส เที่ยวบินที่ EY 616 CMN AUH 1915-0520 (7.35 ชม.) |
วันที่สิบ | อาบูดาบี (Abu Dhabi) - กรุงเทพฯ (Bangkok) | B- | L- | D- |
05.20 น. | ถึงสนามบินอาบู ดาบี , สหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ พักเปลี่ยนอริยาบถและเปลี่ยนเครื่อง | |||
08.55 น. | เดินทางต่อสู่เมืองไทย โดยสายการบิน อิทิฮัด แอร์เวย์ส เที่ยวบินที่ EY 408 AUH BKK 0855 – 1805 (6.15 ชม.) | |||
18.05 น. | คณะเดินทางถึง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ด้วยความสวัสดิภาพ |